iTime

Sunday, December 4, 2016

@^^Preschool in My Dream^^โรงเรียนในฝันของเด็กๆ^^@

4 Dec 2016
Time 17:00LT
Temp 32C
@ FlyawayMinee's House




Pre-School in My Dream
โรงเรียนอนุบาลในฝัน



ถ้าพูดถึงโรงเรียนในฝันแล้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่คงวาดฝันไว้ว่า
โรงเรียนของลูกต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างงี้ ต้องมีสิ่งนั้น ต้องไม่ขาดสิ่งนี้
ซึ่งมินีก็เคยคิดแบบนั้น ถ้ามินีมีลูก มินีก็อยากให้ลูกได้เข้าเรียนในที่ที่ดี มีสภาพแวดล้อมที่ดี
คิดไม่แตกต่างจากพ่อแม่คนอื่นๆเลย

แต่ความเป็นจริง มินีไม่เคยคิดว่าเราจะเจอปัญหาเรื่องลูก
แต่เมื่อเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา
มันคือบททดสอบสำหรับครอบครัวเราจริงๆ ต้องขอบคุณบททดสอบ
ที่ทำให้มินีและครอบครัวได้กลับมาคิดได้อีกมุมมองนึงของชีวิต

"อะไรที่คาดหวัง มันอาจจะไม่สมหวัง อันนี้เป็นสัจธรรม 
แค่อย่าหมดศรัทธา มินีเองก็ไม่เคยหมดหวัง หมดศรัทธาในสิ่งที่ทำ"

หลังจากที่ได้พามิคาอิลฝึกส่งเสริมพัฒนาการที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้สองปีกว่าๆ
ครูต่ายแจ้งให้มินีทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่มิคาอิลต้องได้รับการฝึกในโรงเรียนจริงๆ
ให้ครอบครัวเราเตรียมหาโรงเรียนให้มิคาอิลได้แล้ว ซึ่งได้รับคำแนะนำจากครูต่ายเยอะมาก

ตอนนั้น ความต้องหาโรงเรียนดีๆ ดังๆ โรงเรียนที่จะสอนให้ลูกเราเก่งๆ
ไม่มีความจำเป็นสำหรับเราแล้ว มินีแค่อยากจะหาโรงเรียนที่เหมาะกับมิคาอิลเท่านั้น
โรงเรียนที่สามารถสอนให้มิคาอิลมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้

แต่แล้วก็มาเจออุปสรรคในการหาโรงเรียนให้มิคาอิล ซึ่งอย่างที่ทราบๆกัน
มิคาอิลมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่เหมาะกับโรงเรียนที่เราไปหามาเลย
จนครูต่ายได้ส่งให้มิคาอิลเข้าฝึกต่อที่ศูนย์การศึกษาพิเศษส่วนกลาง

การได้เข้าไปเรียนที่ศูนย์กลางศึกษาพิเศษส่วนกลาง ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ 
มิคาอิลไปเริ่มเรียนที่นั้น ตอนนั้นยังเดินไม่เก่งเลย
ตอนเรียนพ่อแม่ต้องประกบกับเด็กๆด้วย เพื่อที่พ่อแม่สามารถไปสอนลูกต่อที่บ้านได้
มินีได้ความรู้จากที่นี่เยอะมากๆ ได้รับการอบรมในการเลี้ยงดูลูก ทำสื่อ ทำของเล่นให้ลูกเองด้วย

มิคาอิลเรียนได้ปีกว่าๆ เพราะมินีเองยังคงทำงานประจำอยู่ ไม่สามารถมาดูแลมิคาอิลได้ทุกวัน
บวกกับที่บริษัท เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะลางานไปดูลูกที่โรงเรียนทุกวันก็ไม่ได้แล้ว
ก็เริ่มไปเรียนน้อยลง จนช่วงหลังๆ มิคาอิลขาดเรียนที่ศูนย์การศึกษาพิเศษส่วนกลางไปเลย

ตอนนั้น มินีคิดหนักมาก และพยายามหาทางแก้ปัญหา
มินีลองหยุดทุกอย่าง แล้วมามองดูลูก ทำให้คิดได้ว่า 
เราปล่อยให้เวลาเสียไปกับอย่างอื่นที่เรามองว่าสำคัญกว่าลูกมานานแค่ไหนแล้ว
ถึงเวลาที่มินีต้องหันมาดูแลจริงๆจังกับมิคาอิลสักที 
มินีหมดหวังกับโรงเรียนที่จะส่งมิคาอิลไปเรียน
และรวบรวมความกล้าที่คิดจะลาออกจากงานประจำอีกครั้ง
และหันมาทำงานกับมิคาอิล โดยการทำ "Home School"
ตอนที่คิดจะทำ Home School มินีคิดแค่ว่า ถ้าครูไม่รับสอน มินีเป็นครูเองก็ได้
มินีเข้าใจลูกมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว มินีรู้ถึงปัญหาทุกอย่างที่ครอบครัวเราประสบมา
ครอบครัวเราผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย ถ้าคิดจะทำอะไรที่ดูยิ่งใหญ่อีกครั้ง
ด้วยการเป็น "ครู" ให้ลูกตัวเอง
ก็เป็นสิ่งที่น่าลองและท้าทายความสามารถเราด้วยจริงๆ

สิ่งที่คาดหวังที่จะทำ Home School คือ 
อยากให้มิคาอิลสามารถเรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบตัวของเขาเองได้อย่างดี
มีความสามารถปรับตัวให้เขากับสิ่งแวดล้อม เรียนรู้ และเข้าใจ
เพราะมินีเชื่อว่า มันเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้
ถ้ามิคาอิลสามารถทำได้ การที่จะให้เขาได้เรียนสิ่งใหม่ๆ ที่มีระดับความยากเพิ่มขึ้น
ก็เป็นสิ่งที่เขาจะสามารถทำได้ เขาจะมีความอดทน และมีความพยายามมากขึ้นด้วย

เริ่มทำ Home School ได้หกเดือน ก็ได้ประเมินการเรียนรู้ของมิคาอิล
หกเดือนนี้ทำให้ได้เห็นผลชัดมากๆ เช่น

1# ลูกมีความสุขมากขึ้น จากความอิสระที่เราได้มอบให้เขาได้เล่นอย่างไม่ได้ตีกรอบให้เขา
2# เราเข้าใจถึงความต้องการของลูกมากขึ้นว่า เขาต้องการอะไรมากที่สุด มินีไม่ค่อยซื้อของเล่น
สิ่งเขาต้องการที่สุด คือพ่อและแม่นี่เป็นของเล่นของเขา ที่เขาสามารถเล่นได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ
3# มิคาอิลขาดสังคม คือเล่นกับเพื่อนๆไม่เป็น อาย ไม่กล้า สิ่งนี้ทำให้เรากังวลมาก

จากการประเมินด้วยตัวเอง ทำให้มินีต้องก้าวถอยหลัง แล้วมองถึงปัญหานี้
ซึ่งมินีค่อยข้างห่วงมากๆ มินีมองว่า ปัญหาที่มิคาอิลขาดสังคม เป็นเรื่องใหญ่นะ
มนุษย์เราถูกสร้างมาเพื่อให้อยู่กับสังคม ไม่ใช่เกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว
ใครที่คิดว่าใช้ชีวิตคนเดียวได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีใคร
มินีว่ามันไม่ปรกติ (นี่ความเห็นส่วนตัวของมินีนะ)

ตอนนั้นมิคาอิล ไม่ชอบเล่นกับเพื่อนๆ มองหาแต่พ่อกับแม่ หรือคนที่ตัวเองรู้จักเท่านั้น
ไม่กล้าลองมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ๆ เป็นเด็กขี้รำคาญ
ไม่ชอบเห็นใครทำอะไรที่ไม่ถูกใจ ก็จะมาบ่นพรึมพร่ำๆ กับพ่อแม่ไปเรื่อยเลย
ฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่มินีรู้ว่าเขาไม่ชอบเพื่อนคนนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงที่สุด

วิธีแก้ปัญหานี้ของมินีคือ ลองเปิดใจหาโรงเรียนให้มิคาอิลอีกครั้ง
ความตั้งใจแรกคือ แค่อยากให้มิคาอิลเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ 
เพื่อที่จะสร้างความคุ้นเคยกับเด็กๆวัยเดียวกันกับมิคาอิลแบบไม่เขินอาย

ที่เขียนมายาวมากขนาดนี้ มินีแค่อยากจะบอกว่า 
มิคาอิลเจอโรงเรียนที่เหมาะสมกับเขาแล้ว

"Fun Time Preschool"

เป็นโรงเรียนที่มินีมองหามานาน เป็นโรงเรียนแนวบูรณาการ
ไม่เน้นวิชาการ เด็กๆ วัยนี้ควรจะได้เล่นเยอะๆ
การบังคับให้เรียนวิชาการแบบเต็มๆ มินีไม่ค่อยเห็นด้วยมากนัก
ที่นี่เน้นให้เด็กๆ ได้เล่นอย่างมีหลักการ และเป็นประโยชน์ในชีวิตของเด็ก
สอนให้เด็กๆรู้จักหน้าที่ มีวินัย มีหลายๆสิ่งที่โรงเรียนนี้สอนเด็ก
ในแบบที่มินีสอนมิคาอิลเองที่บ้าน แต่มินีสอนแบบคนไม่ได้มีความรู้
หรือมีหลักการของความเป็นครูมากนัก มินีใช้ความรักในการสอนลูกมากกว่า
ซึ่งบ้างครั้งก็ไม่สามารถจัดการกับความดื้อของมิคาอิลได้ ไม่มีเทคนิคที่จะแก้ปัญหานี้
แต่ถ้าเป็นคุณครูที่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กแล้ว คงรับมือได้ไม่ยาก

ทางโรงเรียนมีแนวความคิดให้เป็น Farm School จะให้เด็กๆ ปลูกผัก ปลูกข้าว
เลี้ยงไก่ไข่ เก็บไข่ แล้วสอนเด็กๆปรุงอาหารจากผัก ไข่ไก่ที่พวกเขาได้ดูแลเองกับมือ
คิดดูสิ เด็กจะสนุกมากแค่ไหน? ขนาดมินีได้ยิน ยังแอบตื่นเต้นแทนเด็กๆเลย
ในกทม มินีคิดว่า คงมีโรงเรียนแบบนี้ไม่มากนัก




@ วันปฐมนิเทศน์ @



@ ประชุมผู้ปกครองเมื่อผ่านการเรียน 1 สัปดาห์ @

มีการปรึกษาหารือถึงปัญหาต่างๆ รวมถึงแนวทางแก้ไขปัญหา
และขอคำแนะนำจากผู้ปกครองด้วย


@ กิจกรรมลอยกระทง @

จริงๆกิจกรรมนี้ มินีไม่ได้เห็นด้วยที่จะให้มิคาอิลให้ความสำคัญ
เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับศาสนา แต่สิ่งที่มินีต้องการมิคาอิลได้เรียนรู้ คือ 
เขาจะได้มีส่วนรวมและได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่มกับเพื่อนๆ มากกว่า
มินีคิดว่ามินีแยกแยะออก และคิดว่ามินีสามารถสอนให้อิลเข้าใจเมื่อเขาโตขึ้น ว่า
ประเพณีนี้ มุสลิมเราไม่สามารถเข้าร่วมไปลอยกระทงได้




 @ คงเตรียมแปลงปลูกข้าว ปลูกผัก @


@ เด็กๆ หมักไก่ สุดยอดเลย @

 @ อยากได้กระดานดำแบบนี้ติดข้างฝาบ้าน @


 @ My Boy @


 @ คุณครูบอกว่า มิคาอิลช่วยดูแลน้องๆ ด้วย @



กิจกรรมวันพ่อ โรงเรียนก็จัดได้สนุก และน่ารักมากๆ 











@ ปาปาวาดรูปมิคาอิล @



















บรรยากาศที่ร่มรื่นของโรงเรียน สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้
มันส่งผลถึงจิตใจของเด็กได้โดยตรง
การที่เด็กๆ ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี จิตใจของพวกเขาจะดีขนาดไหน?

มิคาอิลกลับจากโรงเรียน ไม่มีวันไหนที่อารมณ์ไม่ดี 
ไม่มีวันไหนที่เขาบ่นว่าไม่อยากไปโรงเรียนเลย

และนี่คือ 

โรงเรียนในฝัน





ไว้จะมาเล่าเรื่องโรงเรียนมิคาอิลบ่อยๆนะค่ะ





Cr. รูปน่ารักๆ ของเด็กๆ จาก T. Ivan และ T. หลายๆท่านในเฟสบุคฟันไทม์ 





มีความสุขในทุกๆวัน และสุขสันต์วันพ่อค่ะ



Sunday, November 6, 2016

@^^บันทึก 5 เดือนที่ผ่านมาก่อนสิ้นปี 2559^^@

6 Nov 2016
Time 15:15LT
Temp 31C
@ Flyawayminee's House




ไม่อยากจะเชื่อว่ามินีจะทิ้งการเขียนบล็อกได้นานขนาดนี้
ปรกติจะอัพเดททุกๆเดือนเป็นอย่างน้อย
แต่นี่ผ่านไป 5 เดือนแล้วที่ไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อกเลย

สาเหตุหลักๆ คงมาจากที่ตัวเองขาดแรงบันดาลใจกระมัง? 
และอาจจะยุ่งๆกับการงานที่ทำ พยายามจะเคลียร์งานให้จบไว้ๆ
และก็ยุ่งกับทำขนมตามออร์เดอร์ด้วย นับเป็นอีกหนึ่งรายได้ที่เสริมเข้ามา
นอกจากนี้ยังจะขายกระเป๋า ซึ่งเป็น Item ที่ตัวเองชอบมาก เลยตัดสินใจมาลองขาย
สุดท้ายจะยุ่งกับงานที่สำคัญอีกงานคือ ทำ Home School ให้มิคาอิลด้วย เลยยุ่งไปทั้งวัน

จะเริ่มต้นตรงไหนดีนะ เอนทรี่ล่าสุดเดือนพฤษภาคม นี่ก็เข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว
มินีคงจะเล่ารวมๆ ละกันเนอะ สรุปยอดทีเดียว แล้วคงจะเข้ามาเขียนอีกทีช่วงสิ้นปี



เรื่องแรกที่อยากจะเล่า
ทำเรื่อง "ขอลาออก"

จริงๆ ตัดสินใจเป็นครั้งที่สองแล้ว เหตุผลหลักๆ คือ มินีไม่มีเวลาให้กับลูก
และตัดสินใจจะเป็นแม่บ้านเต็มเวลาที่ดูแลลูก สามารถทำ Home School ให้กับลูกได้ด้วย
แต่ก็ต้องยอมอยู่ต่อ เพราะใจอ่อนอีกแล้ว การที่มินีใจอ่อน มินีมีเหตุผลที่ต้องใจอ่อนนะ
เอาเป็นว่าไม่ขอเล่าถึงเหตุผลละกันเนอะ แต่ก็กำหนดเวลาของตัวเองไว้แล้วเหมือนกัน
ถ้ามินีวางแผน วางระบบ เคลียร์งานได้ตามที่ตั้งไว้แล้วเสร็จตามกำหนด
ครั้งหน้าจะลาออกไป ก็คงไม่ห่วงว่าจะทิ้งงานไป แล้วจะมีคนทำต่อได้มั้bย
เพราะถ้าระบบที่กำลังคิดทำ ใครๆ ก็สามารถมาลุยงานต่อได้ไม่ยาก
แต่ไอ้คนที่ทำระบบนี้สิ มันจะทำได้ตามที่ตั้งไว้มั้ย? ทำยากมากนะ T__T
แต่ปีหน้า ถ้าไม่มีอะไรให้ห่วงแล้ว มินีคงออกมาทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้
และคิดว่างานที่มินีเคยทำไว้ จะมีคนรุ่นหลังมาสืบต่อได้ 
เพราะตลอด 10 กว่าปี มินีผูกพันกับมันเหลือเกิน















เรื่องที่สอง

"มิคาอิลจะได้เข้าเรียนในระบบโรงเรียน"

จากสิ่งที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำ Home School เพราะเราหาโรงเรียนที่เหมาะกับลูกไม่ได้เลย
มิอิลมีข้อจำกัดหลายอย่างที่มินีมองว่า มิคาอิลไม่เหมาะกับโรงเรียน
และทำให้เราเป็นกังวลมาก เลยทำการสอนเอง ทำ Home School เองที่บ้าน
แต่ตอนนี้มินีเจอโรงเรียนนึงทีคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับมิคาอิล 
แล้วราคาไม่ได้สูงกว่าโรงเรียนที่เราเคยสอบถามมา
เป็นโรงเรียนที่สอนแบบแนวฝรั่ง ไม่เน้นวิชาการ 
เน้นให้เด็กมีความสุขเวลาได้ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ และคุณครู
เลยคิดว่าจะลองให้มิคาอิลเข้าไปเรียนดู ถ้ามิคาอิลมีความสุข 
เรียนได้ ก็จะได้ให้เรียนต่อเลย แต่ที่ตั้งใจทำ Home School ก็ยังอยู่ในแผนนะ
ไม่ได้ล้มเลิก สาเหตุที่อยากให้เข้าเรียน เพราะอยากให้มิคาอิลมีสังคมบ้าง
หลังจากที่มินีลองทำ Home School ที่บ้านประมาณ 3 เดือน มิอิลดูมีความสุขดีนะ
แต่เวลาเจอคนแปลกหน้า เด็กๆ รุ่นเดียวกัน มิอิลจะไม่ยอมเข้าไปเล่นด้วย
เหมือนเขาขาดความมั่นใจที่จะเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน
เลยเป็นกังวลเรื่องนี้มากๆ แต่ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวหรอกนะค่ะ 
เขาเป็นแบบนี้แค่ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้น เขาเริ่มที่อยากจะเข้าไปเล่นกับเพื่อน
แค่มินีมองว่า เขาใช้เวลาปรับตัวนานไปหน่อย จริงๆ ไม่น่าจะนานขนาดนั้น
การได้เข้าโรงเรียน อาจจะช่วยเขาในเรื่องนี้ได้ มินีคิดอย่างนี้นะ

มิคาอิลจะเริ่มเข้าเรียนวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ 
ไว้จะมาอัพเดทบรรยากาศโรงเรียนมาดูเนอะ
แต่จะอัพทางเฟสไวกว่าเขียนบล็อก
เพื่อนเข้าไปขอแอดเฟรนด์ได้นะค่ะที่นี่ 




@ Home School

















เรื่องที่สาม

"เป็นแม่ค้าเกินครึ่งตัว"

อันนี้เป็นความคิดที่จะทำเพราะตั้งใจจะลาออก แล้วออกมาหารายได้เล็กๆ
แม้จะไม่เท่ากับรายได้งานประจำ แต่อยากช่วยเหลือค่าอาหาร ค่าของใช้ส่วนตัว
ค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบให้กับที่บ้านได้ด้วย เลยคิดจะเป็นแม่ค้า
จริงๆแล้ว เริ่มเป็นแม่ค้ามาสักพักใหญ่ๆ แต่มินีทำแบบไม่ได้จริงจัง
ถ้าว่างก็โพสขาย แล้วก็ห่างหายไป แล้วมาโพสใหม่ เป็นแบบนี้อยู่หลายปี
ทำให้เรียนรู้ว่า จริงๆแล้ว ถ้าเราตั้งใจทำจริงๆ มันจะสามารถเป็นรายได้หลักได้เลย

แต่ก็อย่างที่บอกไว้ มินียังไม่ได้ออกจากงานที่ทำประจำ
ถ้าจะทำอะไรแล้วไปกระทบอีกงานนึง มินีมองว่า เหมือนเราเอาเปรียบเวลางาน
เลยพยายามทำแบบว่า งานประจำต้องไม่เสีย ถ้าจะต้องเสีย มินีก็จะปฏิเสธงานขายก่อน
ทำงานประจำให้เสร็จ แล้วงานอย่างอื่นไว้มาว่ากันที่หลัง

เริ่มจากทำขนมตามออเดอร์ ซึ่งมีเข้ามาเรื่อยๆ และเริ่มมีเพิ่มมาขึ้นจนถึงวันนี้
ริสกีที่ได้ ไม่ใช่จากใครเลย พระองค์มอบให้ทั้งนั้น จะทำได้มาก ได้น้อย ล้วนแต่เป็นริสกีทั้งสิ้น

อัลฮัมดุลลิลละห์


ซึ่งถ้าใครสนใจสั่งขนม เข้าไปสั่งได้ที่ไลน์ : @cookiesmie หรือเพจ ร้านขนม Cookiesmie
ขนมอร่อยๆ สวยๆ สนใจสั่งได้จ้า









และอีกอย่างที่เริ่มขาย และเริ่มทำแบบจริงจัง คือขายกระเป๋า
เป็นกระเป๋าในแบบที่มินีชอบ และมินีก็คิดว่าหลายคนก็คงชอบเหมือนกัน
มินีจะขายใน IG: flyaway_minee และในเพจ Page:flyawaymineestyle

ตัวอย่างกระเป๋าสวยๆ






เรื่องที่สี่

"งานที่ทำ"

จะว่างานหนักมั้ย ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ยุ่งมากเหลือเกินช่วงมีไฟล์ท
คือตอนนี้มินีทำทั้งดิสแพช และ Flight Operation ที่ยังไม่มีคนเข้ามาช่วยดูด้วย
เรื่องสลอท เปอมิต ก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด 
โชคดีที่มีน้องๆช่วยเหลือได้เยอะมากเหมือนกัน
แล้วไหนจะต้องทำราคา อัพเดทข้อมูลราคา เช็คการจ่ายเงินลูกค้า
ส่งลิสรายการค่าใช้จ่ายให้ฝ่ายบัญชี
เมื่อก่อน มินีไม่ต้องทำอะไรคนเดียวแบบนี้
แต่ตอนนี้ไม่มีคนเหมือนเมื่อก่อน 
วันหยุดเลยต้องมอนิเตอร์งานบ้าง
แต่ไม่ถึงกับจะไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้นะ 
มันยังมีลูปช่วงที่ว่างๆ ยังพอมีเวลาทำขนมแปลกๆใหม่ๆ
ให้คนที่บ้านได้ลองกันได้ตลอด


@ ปอบคอร์นรสคาราเมลเม็ดมะม่วงฯ @


@ หัดราดหน้าเค้กเป็นกระจกเงา @ 


@ ขนมปังของโปรดมิคาอิล @

มีความประทับใจสำนักการบินพลเรือน
ตั้งแต่กรมการบินพลเรือนปรับเปลี่ยนองค์กรใหม่ มาเป็นสำนักการบินพลเรือน
การขอเปอมิตรวดเร็วทันใจดีมากเลย แทบไม่ต้องโทรตามเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

แต่มีความงุนงงกับสลอทไทย สลอทมีความฝืดมากๆ มีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟัง
พอดีมินีต้องขอสลอทให้ลูกค้า ซึ่งจะลงสนามบินที่ยอดฮิตในเมืองไทย
ด้วยความที่ไฟล์ทนี้ มีเจ้าชายซาอุเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์
มินีทำเรื่องขออนุญาตตามขั้นตอน จนทางสนามบินอนุญาตให้ลงจอดค้างได้
ซึ่งหลังจากนั้นมินีต้องทำการขอสลอทในระบบ OCS 
ซึ่งทุกๆสายการบินต้องทำการขอสลอทในระบบนี้
เข้าใจว่าระบบมันถูกตั้งค่าว่าสนามบินนี้จอดค้างไม่ได้ มินีก็ทำการขอไม่ได้
ต้องเปลี่ยนเป็นการส่งอีเมล์แทน ซึ่งก็มีการปฏิเสธในการให้สลอท 
ทั้งๆที่เจ้าของพื้นที่อนุญาตแล้ว คือมันฝืนมากจริงๆนะ 
ยังสงสัยว่าทำไหมสลอทไม่ประจำ ณ สนามบินนั้นๆ
เพราะจะได้รู้ถึงลักษณะกายภาพของสภาพสนามบิน
ณ เวลานั้นได้ดีกว่านั่งทำงานในเมืองนะ
คนทำงานเชื่อในระบบ ระบบบอกไม่ได้ ก็คือไม่ได้ 
ทั้งๆที่เจ้าของพื้นที่ หรือ เจ้าบ้านบอกว่าสามารถจอดได้
ไม่มีความยืดหยุ่นเลย

และที่บอกว่าตลก คือ พอมินีเมล์ไปถามสลอท ทางสลอทตอบกลับว่าให้สลอทไม่ได้
ทั้งๆที่มินีก็ดูช่วงเวลาที่ว่างแล้วนะ ก็ยังปฏิเสธ แล้วให้มินีโทรไปคุยกับเจ้าของพื้นที่เอง
พอโทรไปหาเจ้าของพื้นที่ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า
"ในเมื่อผมอนุญาตแล้วเรื่องในระบบสลอท ผมไม่ทราบจะช่วยคุณยังไง
 แล้วกรุณาอย่าอ้างชื่อผมไปให้เขานะ เพราะเคยมีบริษัทนึงอ้างชื่อเขาไปบอกทางสลอท
สลอทโทรมาด่าท่าฯ หรือเจ้าของพื้นที่ ด่าระดับหัวหน้าผมด้วยนะ หาว่าก้าวก่ายงานของสลอท"
เอ้าท์!!!
นี่ก็ งง สิคร๊าบบบ งง มากๆ ด้วย นี่เจ้าบ้านต้องเกรงใจคนที่ไม่ใช่เจ้าของบ้านหรอเนี่ย?
ตลกจังเนอะ!!
น่าแปลกตรงที่บรรดาแอร์ไลน์ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า "สลอทฝืนมาก"
เขาจะรู้ตัวมั้ย? ว่ามีคนบ่นมากขนาดนี้?  หรือเขาต้องเป็นแบบนี้ เพราะระบบงานของเขานะ?



เรื่องที่ห้า

"ในหลวง ร. ๙ เสด็จสวรรคต เมื่อ 13 ตุลาคม 2559"

เดือนตุลาที่ผ่านมา ถ้าจะไม่พูดถึงการเสด็จสวรรคตของในหลวง ร.๙ คงไม่ได้แล้ว
เย็นวันนั้น มินีพามิคาอิลไปตรวจที่จุฬาฯ ตรวจเสร็จ 
แวะไปละหมาดที่ เซ็นทรัลเวิร์ด แล้วค่อยกลับบ้าน
ระหว่างรอเวลาละหมาด ได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพท์ แล้วร้องไห้
ต่างคนต่างร้อง ก็พอเดาได้ว่า ต้องเป็นเรื่องในหลวง ร.๙ แน่ๆ 
เพราะได้ตามข่าวอยู่เมื่อกันเรื่องอาการประชวรของพระองค์ท่าน
คนไทยทุกคนล้วนเสียใจที่สุดในชีวิต มินีเองก็เสียใจและเศร้ามาก
ความทรงจำของเด็กนราฯ คนนี้ ทุกๆปีช่วงเดือนกันยายน งานของดีเมืองนราฯ
ในหลวงจะเสด็จลงมาประทับที่ตำหนักทักษิณราชนิเวศ
มินีได้เห็นขบวนรถของพระองค์ท่าน
และของพระบรมวงศานุวงศ์แบบใกล้ชิดมากๆ
ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นขบวน หรือต้องหยุดรอรับเสด็จ
และเมื่อยิ่งได้รับรู้ถึงสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทำหลายต่อหลายสิ่ง
ให้กับคนไทยมาตลอด 70 ปี ของการครองราชย์แล้ว เป็นสิ่งที่สุดยอดมากจริงๆ
และหวังอย่างยิ่งว่าคนไทยจะได้รับรู้ และเข้าใจ นึกถึงคำสอนของพระองศ์ท่าน
และนำสิ่งที่พระองค์ท่านเคยสั่งและสอนมาปรับใช้ในชีวิตให้มากๆ
ถ้าใครทำได้ ชีวิตของเขาคนนั้นจะมีความวุ่นวายน้อยลง ตามที่พระองศ์ท่านได้บอกไว้
มินีก็จะนำปรับมาใช้ในชีวิตเช่นกัน เริ่มจากความพอเพียงเลย

บรรยากาศของประเทศไทยเป็นสีเทา ขอให้ทุกคนเข้มแข็ง
และนำพาประเทศไทยก้าวต่อไปด้วยมือของคนไทยทุกคน



#ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙


ขอให้มีความสุขในทุกๆวันนะค่ะ




เพลงนี้ซึ้งกินใจมาก
สมาชิก CU BAND ได้ร่วมกันประพันธ์บทเพลงทูลเกล้าฯถวาย โดยอันเชิญชื่อบทเพลง
พระราชนิพนธ์ 28 เพลงมาร้อยเรียงกัน

เพราะและเศร้ามากๆ เช่น ฟังกี่ครั้งๆ น้ำตาก็ซึมตลอด


Thursday, June 2, 2016

@^^Super VVIP Flight^^ประสบการณ์งานหินๆ เหนื่อยแต่ภูมิใจ^^@

02 Jun 2016
Time 13:30LT
@ FlyawayMinee's House
Temp 31C, Cloudy


เอนทรี่นี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ของการทำงานกับไฟล์ท
ที่ถือว่าเป็นไฟล์ทหินสุดๆ อีกไฟล์ทนึงที่เคยทำมา
มีความเยอะ มีความวุ่นวาย มีความสับสน มีความกังวล
และมีความหลายต่อหลายอย่างจนทำให้
พลังกาย พลังใจของมินีถูกดึงใช้จนหมดตัว


11 May 2016

แรกเริ่ม ทางฝ่ายฯได้รับอีเมล์จากลูกค้าประจำว่าจะมี VVIP ด้วยเครื่อง B737BBJ
บินเข้ามาดอนเมือง แต่ด้วยความที่ VVIP เป็นราชวงค์ของ UAE ในสาย 7 ลำดับ
เลยมีการเปลี่ยนเครื่องบินเป็น B787 Dreamliner เปลี่ยน Operator ใหม่ด้วย
เพื่อให้สมกับพระเกีรยติ ต่อมาทางมินีได้ทราบที่หลังว่า ลูกค้าประจำของเรานั้น 
ที่เราคิดว่าเขาคือที่สุดของเครื่องบินสายเจ้า แต่จริงๆแล้ว เขายังเป็นแค่บริษัทลูกเท่านั้น
ของเครื่องที่กำลังจะบินมา แล้วให้ทางทีม Ops ของเราได้ให้บริการ

เรามีระยะเวลาในการเตรียมงานไม่มาก เพราะข้อมูลที่ได้มาไม่ครบถ้วน และผิดเพี้ยนไปมาก
แต่ก็พยายามกันสุดฝีมือ เพื่อให้ได้ Slot ที่จอด และ landing Permission 

งานที่ค่อนข้างหนักใจ คือ การประสานงานของหน่วยงานรัฐ
เพราะพระองค์เสด็จมาในนามของแขกรัฐบาลไทย
ทีมของเราต้องประสานงานกับทุกด้าน เพื่อให้งานออกมาให้ราบรื่นที่สุด
แค่ขั้นตอนการประสานงานก็ดึงพลังงานของทีมเราไปแล้ว 50%

อยากจะบอกว่า ทีมเรามีกำลังใจที่ดีเยี่ยมมากจริงๆ 
ไม่งั้นงานคงพังตั้งแต่เครื่องบินยังไม่บินเข้ามาแล้ว

ในวันที่เครื่องจะบินเข้ามา ทีมเราบรีฟกันจนรู้ว่าใครอยู่ตำแหน่งอะไร ทำหน้าทีอะไร
แต่ความวุ่นวายมักเกิดขึ้น แม้เราจะเตรียมงานมาดีแล้วก็ตาม สิ่งสำคัญคือ 
"สติ" ที่ต้องมีอย่างมากในการทำงาน


 @ เครื่องบิน Taxi มาที่หลุดจอด @


@ วันนี้ประจำข้างเครื่อง ดูแลความเรียบร้อยอยู่ข้างล่าง @

ปัญหาใหญ่ของการเดินทางของผู้โดยสารระดับ VVIP คือ สัมภาระ
คือ นอกจากจะเยอะมากกว่าปรกติแล้ว คนติดตามที่ต้องดูแลเรื่องกระเป๋า
เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ คือ สุดยอดของความเรื่องเยอะ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้
ต้องแยกส่วนกระเป๋า ห้ามสับเปลี่ยน ใบไหนไปก่อนไปหลัง และต้องทำในเวลาที่จำกัด
คือ กระเป๋ามาเกือบ 300 ใบ แต่ผู้โดยสารแค่ 40 กว่าคนเท่านั้น

มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย ตัวลูกเรือ ก็พยายามเรื่องเยอะกับทีมของเรา
ก็ค่อยๆ แก้ไปที่ละอย่าง ไม่มีอะไรได้ดังใจ เพราะใจคนเราร้อนเกินกว่า
ความสามารถของสองมือเราที่กำลังทำงานอย่างเร่งรีบอยู่แล้ว

กว่าจะเคลียร์งานจนเสร็จสิ้นก็เกือบ 5 ทุ่มแล้ว คืนนั้นไม่ได้ทานข้าวเลย
เหนื่อยมาก หลังทำงาน คุยกับน้องๆพี่ๆในทีมว่า 
ข้างบนตอนผู้โดยสารลงจากเครื่องเป็นอย่างไรบ้าง
สรุปคือ ข้างบนก็ค่อนข้างวุ่นวายเช่นกัน แต่วุ่นวายกับคนที่มารับนะ
ตัวผู้โดยสารเองไม่ได้มีอะไรให้วุ่นวายมาก


12 May 2016
ลูกเรือแจ้งว่าจะมาที่เครื่อง เพื่อมาดูความเรียบร้อย 
และจะโหลดกระเป๋าบ้างส่วนมาไว้ที่เครื่อง
สรุปแล้ว ไม่ใช่แค่บางส่วน แต่มันคือกระเป๋าทั้งหมดที่ลงเมื่อคืน

OMG

คือ อัลไลค่ะ มีการสับขาหลอกกันวุ่นวายมาก มีการแจ้งว่า เครื่องจะไปภูเก็ตด้วย
ทั้งๆที่แผนที่ส่งมาไม่ได้แจ้งไว้ เปลี่ยนสลอท เปลี่ยนเปอมิตกันวุ่นวายเลย
ส่วนกระเป๋าที่จะมาโหลด มีเจ้าหน้าที่ Security ประจำเครื่องมาดูการ x-ray ทุกใบ

คือเมื่อคืนก็ช่วยยกกระเป๋าจนปวดแขน คืนนี้อีกคืนหรอที่ต้องยก 
รู้สึกว่าตัวเองเป็นกรรมกรมากเลยชีวิตนี้ 
คือ ไม่มีใครคิดหรอกว่าเป็น Flight Dispatcher ที่นี่แล้วต้องมาทำอะไนแบบนี้
แต่....สิ่งที่เราได้ทำมากกว่าที่อื่นๆ คือสิ่งที่สอนให้เราได้เรียนรู้งานจริงๆ
สอนให้เรารู้จักการมีน้ำใจ รู้จักคำว่าทีมเวิร์ด
และนี้คือข้อดีของการทำงานในบริษัทเล็กๆ แบบนี้แหละ





@ เราเหนื่อย แต่ก็ยังยิ้มได้ @



14 May 2016

เช้าวันนี้เครื่องจะบินไปภูเก็ต มีทีมที่ภูเก็ตเตรียมรอทำไฟล์ท
ที่ดอนเมืองมีมินีกับพี่ไก่ ที่ดอนเมืองไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก เพราะบินเครื่องเปล่าไม่มีผู้โดยสาร

แต่ที่จะยุ่งก็ตรงลูกเรือนี่แหละ เริ่มจากลงจากรถบัสที่ส่งมาส่งเทอมินอล 2 ท่าดอนเมือง
ลงมานี่ก็ด่าเลย ว่าทำไมไม่ไปใช้อาคารโดยสารส่วนตัว เครื่องเขาเป็น VIP นะ มาทำแบบนี้ได้ไง
เขาจะเขียนรีพอร์ต มินีพยายามอธิบายแล้วว่า ในเมื่อไม่มีผู้โดยสาร 
และอาคารโดยสารส่วนตัว อยู่ในความดูแลของบริษัทนึง ไม่ใช่ของท่าอากาศยาน
มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ใช้อาคารนี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะช้า เพราะมีทีมเราดูแลไปจนถึงเครื่อง
พี่แกก็โวยวายไม่ยอมท่าเดียว พูดคำเดียวว่าจะเขียนรีพอร์ต จนมินีต้องสะกิดเขาบอกใจเย็นๆนะ

แต่เกิดอะไรขึ้นรู้มั้ยค่ะ? พอพวกเราเข้าไปในเกท เท่านั้นแหละ ตื่นตาตื่นใจกับร้านค้าในเกท
คือ ตามใครไม่ได้เลย ต่างคนต่างชอปปิ้งกันอย่างเมามันส์มาก ต้องตามตัว ให้ไปที่เครื่องได้แล้ว
ส่วนมินีไปรอที่เครื่องก่อนหน้านี่แล้ว พยายามวอถามพี่ไก่ว่าออกจากเกทหรือยัง พี่ไก่บอกว่ายังรอลูกเรือชอปปิ้งกันยังไม่เสร็จเลย เออ!! ให้มันได้อย่างงี้สิ!! ตอนแรกบอกจะเขียนรีพอร์ต คงลืมไปแล้วเนอะ...



 @ B787 Dreamliner @



@ ทุกอย่างพร้อมที่เครื่องแล้ว @

ลูกเรือทั้งหมดมาถึงเครื่อง ก็จัดการทุกอย่างทั้งเติมน้ำมัน ทำน้ำ ส้วม
ส่วนมินีก็ขึ้นไปเก็บตังค์กับนักบิน ทุกอย่างเสร็จไว้มาก
ทีมเราเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ไม่อยากให้เขาต้องมาบ่น 
จนเขาลืมโกรธมินีเรื่องอาคารโดยสารส่วนตัวเลย 555+

จริงๆ มินีเคยผ่านเรื่องวุ่นวายแบบนี้มาค่อนข้างเยอะมากๆ 
ตลอดระยะเวลาที่ทำไฟล์ทแบบนี้ มักจะเจออะไรลักษณะแบบนี้ตลอด
แต่ต่างตรงเวลา และวุฒิภาวะของมินีในแต่ละช่วงวัย
ช่วงแรกนี่ดิ้นพล่านเลยนะ ทำอะไรไม่ถูก โดนด่าแล้วนอยด์มาก
หลังๆ พอเราโตขึ้น เรานิ่งขึ้น มีสติมากขึ้น แก้ปัญหาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
จนบางทีก็ยังงงกับตัวเองว่า เรานิ่งแบบนี้ได้ยังไง 
เพราะใครๆที่รู้จักมินี จะรู้ว่าเราใจร้อนมาก






 @ ทีมแอร์โฮสเตรน่ารักมาก @


 @ เครื่องถอย งานใกล้จบล่ะ @

ตอนนี้พลังงานในตัวเหลือ 10%


@ ของที่ลูกเรือให้มา อินทผาลัม อร่อยมากๆ @

กลับถึงบ้านพลังงานหมด แอบหลับไปชม.นึงหลังทำไฟล์ทเสร็จ  
ตื่นขึ้นมา ชวนฝาชีไปดินเนอร์ปิ้งย่างบ้างเล็กน้อย เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ในตัวให้เต็ม

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ออกเดทกันสองต่อสองแบบนี้
ช่วงนี้ลูกกลับไปอยู่ใต้ เราสองคนเลยเหมือนคู่รักสดๆร้อนๆไปเลย
แต่ก็เหงามากเลยที่มิอิลไม่อยู่แบบนี้





@ Our Sweet and Hot Dinner...hahaha@



ตอนนี้ก็จะพยายามสร้างทีมให้เข้มแข็ง น้องเก่าจากไป น้องใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่ 
มินีคงสอนให้น้องเก่งไม่ได้ ถ้าตัวน้องๆไม่พยายามเรียนรู้งานด้วยตัวเอง
งานทุกงานที่โรยัลฯ มีประสบการณ์ให้ตักตวง ใครทำเยอะ คนนั้นก็จะได้เยอะ
มินีสังเกตจากหลายๆคนที่เคยผ่านงานที่นี่ ไปเริ่มที่ใหม่ได้ดีมากๆ เกือบทุกคน

หลังจากนี้มินีเองคงออกไปทำไฟล์ทน้อยลง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัท 
ที่จะให้มินีทำงานด้านวางแผนมากขึ้น แต่มินีพยายามจะถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเอง
ให้น้องๆให้มากที่สุด แต่บางทีก็อดใจไม่ไหว
อยากลงไปอยู่ใต้ปีกเครื่องบิน เพราะมินีโตมากับการอยู่ใต้ปีกจริงๆ




มีความสุขในทุกๆวันนะค่ะ