iTime

Thursday, October 18, 2012

@ติดตามการรักษาตาของมิคาอิล & นัดเจอเพื่อนสามีทานอาหารญี่ปุ่น^^Follow Up On Problems With The Eye Of Mikail & Meeting Old Friend At Aladin Shushi Restaurant^^@

17 Oct 2012
@ FlyawayMinee's House
Time 21:31LT
Temp 27 C.

 
ก่อนที่จะอัพเดทเรื่องการรักษาตาของมิคาอิล
ขอบันทึกเรื่องคุณแม่ของน้องแอรี่มาเยี่ยมมิอิลที่บ้านก่อนนะค่ะ
 
15 Oct 2012
Time 18:30LT
 
แอรี่ส่งข้อความจะมาที่บ้าน ถามว่าเราอยู่บ้านมั้ย?
เราก็ตอบกลับว่า อยู่จ้า นั่งดู The voice ไม่ได้ไปไหน
แต่แอบแปลกใจว่า เอ๊ะ ! มีเรื่องอะไรหรือป่าวหน่า?
ส่งข้อความกลับไปว่า มีเรื่องอะไรด่วนหรือป่าว?
เพราะแอรี่ไม่ค่อยจะมาบ้านเราเวลานี้ แต่แอรี่ตอบว่าไม่มีไรจ้า
จะมาหาเฉยๆ เราเลยอ่อๆ เครๆ มาเลยจ้า พี่อยู่บ้าน ไม่ได้ไปไหน
 
เอาเข้าจริงเราเซอร์ไพร์มากที่แอรี่พาคุณแม่อ้อย
กับน้องสาวมาเยี่ยมมิอิลถึงบ้าน
เกรงใจมาก ไม่ทันเตรียมตัว บ้านรก แม่อ้อยมีของเล่น
ของขวัญวันเกิดจากพี่แอรี่และพี่มิตซี่มาฝากให้มิอิลอีกด้วย
 
ก่อนหน้านี้แม่อ้อยฝากของขวัญวันเกิดให้มิอิลมาแล้ว ยังเกรงใจอยู่เลย
มาคราวนี้ ก็ยังมีของติดไม้ติดมือมาฝากอีก แม่นีทำตัวไม่ถูกเลย
แต่ก็ขอบคุณแทนมิอิลมากๆ นะค่ะ
 
ของขวัญจากแม่อ้อย
 
 
ของขวัญพี่แอรี่กับพี่มิตซี่ แล้วก็จากแม่อ้อย(อีกแล้ว)
จะเป็นหนังสือรูปสัตว์ ดินสอสี เขียนบนหนังสือแล้วลบได้
หนังสือหัดอ่านตัวเลข หนังสือดีๆ ทั้งนั้นเลย
 
 
ขอบคุณมากๆ อีกครั้งนะค่ะ มิอิลชอบมาก
เล่นทุกเช้าก่อนอาบน้ำเลยค่ะ
 
 
16 Oct 2012
Time 13:00LT
 
 
พบหมอตาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หมอนัดช่วงบ่ายๆ
ไปถึงกันสายกันนิดหน่อย สามีขับรถไปส่งเรากับมิอิลที่โรงพยาบาลก่อน
แล้วขับรถไปส่งคุณยายที่หัวลำโพง คุณยายจะกลับไปนราธิวาส
คราวนี้มิอิลได้ไปทำงานกับแม่นีอีกครั้ง จริงๆ ก็เกรงใจที่ทำงาน
แต่จะให้ทำไงได้ เรายังฝากเลี้ยงไม่ได้ เพราะมิอิลยังไม่เดิน
คลานเองก็ยังไม่แข็งพอ ทางโรงพยาบาลก็เลยยังรับเข้าไม่ได้
คงต้องรอดูอีกสักเดือน ถ้ามิอิลมีพัฒนาการที่ดีขี้น
คงได้เข้า Nursery คุณยายจะได้เหนื่อยน้อยลง
 
แม่แฮปปี้ที่ได้กลับบ้าน
ไม่ว่ามาจะไปไหนก็ต้องแบกต้นไม้ไปด้วย ไหวม่ะ?มา????
 
 
เข้าเรื่องตาของมิอิลต่อดีกว่าค่ะ
 
รอคิวหมอตรวจไม่นาน มิอิลต้องหยอดยาขยายม่านตา
มิอิลร้องลั้นเลย คงจะแสบตา พยาบาลเดินมาหยอดตั้ง 2 ครั้ง
มิอิลไม่พอใจมาก ร้องไห้ อารมณ์ไม่ดีแล้วค่ะ
 
ต้องรอจนม่านตามิอิลขยาย คุณหมอถึงเรียกไปตรวจ
มิอิลไม่ชอบเครื่องมือตรวจตาด้วยมือของคุณหมอมากๆ
มันเป็นเครื่องมือคล้ายปืนเลเซอร์มีแสงไฟสีส้มส่องที่ตา
มิอิลไม่ชอบ ร้องไห้ จนต้องจับนอนขึ้นไปบนเตียง
คุณหมอถลกตามิอิลสุดๆ ใช้เครื่องมือส่องเข้าไปในลูกตาข้างซ้าย
ทำแบบนี้หลายครั้ง เพราะมิอิลดิ้นไม่ยอมให้ตรวจ
แล้วหมอก็ย้ายมาตรวจข้างขวา ตรวจข้างขวาไม่นานมากนัก
 
 
ไปร.พ.จุฬาฯ
 
 
คุณหมอสรุปผลการตรวจในวันนี้ว่า มิอิลจะใช้ตาข้างซ้ายในการดำรงชีวิต
ตาข้างขวาของเขา หมอตรวจเห็นเส้นประสาทตา แต่เล็กมาก
เล็กมากจนตรวจจาก MRI ยังไม่เห็น ซึ่งมิอิลอาจจะไม่ได้ใช้ตาข้างนี้
ปัญหาคือ หมอจะไม่แนะนำให้ผ่าตาออก เพราะตาเขายังเห็นอยู่บ้าง
คุณหมอบอกเราว่า ถ้ามิอิลโตขึ้นแล้ว อาจจะกังวลเรื่องความหล่อ
แล้วค่อยมาคุยเรื่องผ่าตาใส่ตาปลอม แต่ตอนนี้ก็จะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น
 
ข่าวดีคือ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนตุลาปีที่แล้ว หมอบอกผลการตรวจครั้งแรกว่า
มิอิลต้องตัดแว่น เพราะตาข้างซ้ายของเขามองเห็นไม่ปรกติ
แล้วผลตรวจตาข้างขวาของมิอิล คือไม่เห็นเลย
 
แต่เมื่อถึงวันนี้ ผ่านไปหนึ่งปี ผลตรวจออกมาดีมาก มิอิลไม่ต้องใส่แว่นตา
เพราะตาข้างซ้ายมิอิลเห็นชัดมาก (ซึ่งผลตรวจต่างจากปีที่แล้วมาก)
และหมอยังบอกว่าตาข้างขวามิอิลยังพอเห็นอยู่บ้าง
(จากเดิมผลตรวจออกมาว่าตาข้างขวาของมิอิลไม่เห็นเลย)
 
ทุกๆครั้งเรามีความหวังว่าผลการตรวจของลูกจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ยอมรับว่าเหนื่อยมากกับทุกวันนี้ แต่เราสองคนไม่เคยท้อ
ส่วนนึงมาจากมิอิล ทุกครั้งที่กลับมาบ้านแล้วเห็นหน้าเขา
มันทำให้เรามีแรงฮึดสู้ทุกครั้ง แล้วบอกตัวเองว่าเราต้องทำได้
 
วันก่อนขับรถไปซื้อของกับสามีตอน 5 ทุ่มกว่าๆ อยู่ๆ เราถามสามีว่า
"ทุกวันนี้ คุณมีความสุขมั้ย กับชีวิตครอบครัวที่เป็นอยู่"
สามีตอบแบบไม่คิดเลยว่า มีความสุขมากๆ
สามีบอกว่า เรามีลูกที่เป็นที่รัก ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง
ก็ไม่ได้ทำให้เรามีอุปสรรคการใช้ชีวิตเลย เราอาจจะเหนื่อยอยู่บ้าง
แต่เราก็ไม่เคยท้อกับการที่จะรักษาโรคที่เขาเป็นอยู่ ในทางกลับกัน
มันทำให้เรามีความกระตือรือร้นในการดูแลเอาใจใส่เขามากกว่าด้วยซ้ำไป
 
ซึ่งเราเองก็คิดแบบนั้น เพราะลูก ที่ทำให้เรารู้สึกว่า
ครอบครัวเรามีความหมายมาก มีความสุขได้ ไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ
ด้วยแรงศรัทธา เราจึงไม่ย่อท้อกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต แล้วผลที่ได้รับคือ
เรามีความหวัง แล้วเมื่อเรารู้ว่าเรามีหวัง แค่นี้เราก็มีสุขมากๆแล้ว
 
หลังจากตรวจตารวมถึงฉีดวัคซีนไวรัสตับ A เข็มแรกเสร็จ
ขับรถออกจากโรงพยาบาลแล้วบ่นๆกับสามีว่าอยากกินอาหารญี่ปุ่นมาก
สามีจัดให้ เลี้ยวรถเข้าเส้นทางพระราม 9 ออกเลียบทางด่วนรามอิทราทันที
แล้วบอกให้เราโทรหาเพื่อนเขาที่พาครอบครัวมาเที่ยวกรุงเทพฯ
นานทีจะได้เจอกัน มากินข้าวอัพเดทชีวิตของแต่ละคนกันมันส์
 
ณ ร้านอลาดิน ซูชิ ร้านญี่ปุ่นที่เราแอบติดใจทุกครั้งที่ได้กิน
ร้านตั้งอยู่ซอยประชาอุทิศ 23 ดินแดง
 
หน้าแม่นี้แอบโทรมนะเนี้ย!
 
 
เรามาถึงร้านกันก่อนครึ่งชั่วโมง เพื่อนของสามีและครอบครัวก็มาถึง
เราสั่งอาหารไว้แล้ว สั่งพนักงานเสริฟว่าค่อยเสริฟอาหารประมาณ 6 โมง
ซึ่งพอเพื่อนมาก็พอดี พร้อมกินเลย แต่สามีเรามีเรื่องพลาดมาก คือ
ลืมโทรชวนเพื่อนสนิท ท่านเลขาฯ โรเซฟ ของเราไปได้ไงเนี้ย?
เลยโทรไปชวนพี่เซฟมา ตอนแรกทำท่าเหมือนจะไม่มา พี่กลัวว่ามาไม่ทัน
แต่พวกเรายืนยันว่าจะรอ พี่เซฟเลยมา พาแฟนสาวที่น่ารักมาด้วย อิอิ
 
 
 
 
 
เมื่อสองหนุ่มมาเจอกัน
พี่มิอิลยังเดินไม่ได้ แต่น้องชามิลเดินเก่งมากๆๆเลย
 
 
รอลุ้นคู่นี้อยู่นะค่ะ
 
 
อาหารอร่อยๆ
 
 
คุณแม่น้องชามิลสวยตลอดๆ
 
ในร้านคุยกันเรื่องงาน ส่วนตัวกันสนุกสนาน
กินกันนานมาก แต่พอเด็กๆ หลับ พวกเราก็ต่างกันแยกย้ายกันกลับ
คงมีโอกาสได้เจอ แล้วมานั่งชิวกินข้าวแบบนี้อีกนะค่ะ
 
เล่ามาซะยาวเลยค่ะ
 
คืนนี้ขอให้มีความสุขมากๆ นะค่ะ
เอนทรีหน้าจะนำเสนอเมนูอร่อยๆ นะค่ะ
 
 
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


No comments: