Time 17:00LT
Temp 32C
@ FlyawayMinee's House
Pre-School in My Dream
โรงเรียนอนุบาลในฝัน
ถ้าพูดถึงโรงเรียนในฝันแล้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่คงวาดฝันไว้ว่า
โรงเรียนของลูกต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างงี้ ต้องมีสิ่งนั้น ต้องไม่ขาดสิ่งนี้
ซึ่งมินีก็เคยคิดแบบนั้น ถ้ามินีมีลูก มินีก็อยากให้ลูกได้เข้าเรียนในที่ที่ดี มีสภาพแวดล้อมที่ดี
คิดไม่แตกต่างจากพ่อแม่คนอื่นๆเลย
แต่ความเป็นจริง มินีไม่เคยคิดว่าเราจะเจอปัญหาเรื่องลูก
แต่เมื่อเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา
แต่เมื่อเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา
มันคือบททดสอบสำหรับครอบครัวเราจริงๆ ต้องขอบคุณบททดสอบ
ที่ทำให้มินีและครอบครัวได้กลับมาคิดได้อีกมุมมองนึงของชีวิต
ที่ทำให้มินีและครอบครัวได้กลับมาคิดได้อีกมุมมองนึงของชีวิต
"อะไรที่คาดหวัง มันอาจจะไม่สมหวัง อันนี้เป็นสัจธรรม
แค่อย่าหมดศรัทธา มินีเองก็ไม่เคยหมดหวัง หมดศรัทธาในสิ่งที่ทำ"
แค่อย่าหมดศรัทธา มินีเองก็ไม่เคยหมดหวัง หมดศรัทธาในสิ่งที่ทำ"
หลังจากที่ได้พามิคาอิลฝึกส่งเสริมพัฒนาการที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้สองปีกว่าๆ
ครูต่ายแจ้งให้มินีทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่มิคาอิลต้องได้รับการฝึกในโรงเรียนจริงๆ
ให้ครอบครัวเราเตรียมหาโรงเรียนให้มิคาอิลได้แล้ว ซึ่งได้รับคำแนะนำจากครูต่ายเยอะมาก
ตอนนั้น ความต้องหาโรงเรียนดีๆ ดังๆ โรงเรียนที่จะสอนให้ลูกเราเก่งๆ
ไม่มีความจำเป็นสำหรับเราแล้ว มินีแค่อยากจะหาโรงเรียนที่เหมาะกับมิคาอิลเท่านั้น
ไม่มีความจำเป็นสำหรับเราแล้ว มินีแค่อยากจะหาโรงเรียนที่เหมาะกับมิคาอิลเท่านั้น
โรงเรียนที่สามารถสอนให้มิคาอิลมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้
แต่แล้วก็มาเจออุปสรรคในการหาโรงเรียนให้มิคาอิล ซึ่งอย่างที่ทราบๆกัน
มิคาอิลมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่เหมาะกับโรงเรียนที่เราไปหามาเลย
จนครูต่ายได้ส่งให้มิคาอิลเข้าฝึกต่อที่ศูนย์การศึกษาพิเศษส่วนกลาง
การได้เข้าไปเรียนที่ศูนย์กลางศึกษาพิเศษส่วนกลาง ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ
มิคาอิลไปเริ่มเรียนที่นั้น ตอนนั้นยังเดินไม่เก่งเลย
ตอนเรียนพ่อแม่ต้องประกบกับเด็กๆด้วย เพื่อที่พ่อแม่สามารถไปสอนลูกต่อที่บ้านได้
มินีได้ความรู้จากที่นี่เยอะมากๆ ได้รับการอบรมในการเลี้ยงดูลูก ทำสื่อ ทำของเล่นให้ลูกเองด้วย
มิคาอิลเรียนได้ปีกว่าๆ เพราะมินีเองยังคงทำงานประจำอยู่ ไม่สามารถมาดูแลมิคาอิลได้ทุกวัน
บวกกับที่บริษัท เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะลางานไปดูลูกที่โรงเรียนทุกวันก็ไม่ได้แล้ว
ก็เริ่มไปเรียนน้อยลง จนช่วงหลังๆ มิคาอิลขาดเรียนที่ศูนย์การศึกษาพิเศษส่วนกลางไปเลย
ตอนนั้น มินีคิดหนักมาก และพยายามหาทางแก้ปัญหา
มินีลองหยุดทุกอย่าง แล้วมามองดูลูก ทำให้คิดได้ว่า
มินีลองหยุดทุกอย่าง แล้วมามองดูลูก ทำให้คิดได้ว่า
เราปล่อยให้เวลาเสียไปกับอย่างอื่นที่เรามองว่าสำคัญกว่าลูกมานานแค่ไหนแล้ว
ถึงเวลาที่มินีต้องหันมาดูแลจริงๆจังกับมิคาอิลสักที
มินีหมดหวังกับโรงเรียนที่จะส่งมิคาอิลไปเรียน
และรวบรวมความกล้าที่คิดจะลาออกจากงานประจำอีกครั้ง
และหันมาทำงานกับมิคาอิล โดยการทำ "Home School"
ตอนที่คิดจะทำ Home School มินีคิดแค่ว่า ถ้าครูไม่รับสอน มินีเป็นครูเองก็ได้
มินีเข้าใจลูกมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว มินีรู้ถึงปัญหาทุกอย่างที่ครอบครัวเราประสบมา
ครอบครัวเราผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย ถ้าคิดจะทำอะไรที่ดูยิ่งใหญ่อีกครั้ง
ด้วยการเป็น "ครู" ให้ลูกตัวเอง
ด้วยการเป็น "ครู" ให้ลูกตัวเอง
ก็เป็นสิ่งที่น่าลองและท้าทายความสามารถเราด้วยจริงๆ
สิ่งที่คาดหวังที่จะทำ Home School คือ
อยากให้มิคาอิลสามารถเรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบตัวของเขาเองได้อย่างดี
มีความสามารถปรับตัวให้เขากับสิ่งแวดล้อม เรียนรู้ และเข้าใจ
เพราะมินีเชื่อว่า มันเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้
ถ้ามิคาอิลสามารถทำได้ การที่จะให้เขาได้เรียนสิ่งใหม่ๆ ที่มีระดับความยากเพิ่มขึ้น
ก็เป็นสิ่งที่เขาจะสามารถทำได้ เขาจะมีความอดทน และมีความพยายามมากขึ้นด้วย
เริ่มทำ Home School ได้หกเดือน ก็ได้ประเมินการเรียนรู้ของมิคาอิล
หกเดือนนี้ทำให้ได้เห็นผลชัดมากๆ เช่น
1# ลูกมีความสุขมากขึ้น จากความอิสระที่เราได้มอบให้เขาได้เล่นอย่างไม่ได้ตีกรอบให้เขา
2# เราเข้าใจถึงความต้องการของลูกมากขึ้นว่า เขาต้องการอะไรมากที่สุด มินีไม่ค่อยซื้อของเล่น
สิ่งเขาต้องการที่สุด คือพ่อและแม่นี่เป็นของเล่นของเขา ที่เขาสามารถเล่นได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ
3# มิคาอิลขาดสังคม คือเล่นกับเพื่อนๆไม่เป็น อาย ไม่กล้า สิ่งนี้ทำให้เรากังวลมาก
3# มิคาอิลขาดสังคม คือเล่นกับเพื่อนๆไม่เป็น อาย ไม่กล้า สิ่งนี้ทำให้เรากังวลมาก
จากการประเมินด้วยตัวเอง ทำให้มินีต้องก้าวถอยหลัง แล้วมองถึงปัญหานี้
ซึ่งมินีค่อยข้างห่วงมากๆ มินีมองว่า ปัญหาที่มิคาอิลขาดสังคม เป็นเรื่องใหญ่นะ
มนุษย์เราถูกสร้างมาเพื่อให้อยู่กับสังคม ไม่ใช่เกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว
ใครที่คิดว่าใช้ชีวิตคนเดียวได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีใคร
มินีว่ามันไม่ปรกติ (นี่ความเห็นส่วนตัวของมินีนะ)
ซึ่งมินีค่อยข้างห่วงมากๆ มินีมองว่า ปัญหาที่มิคาอิลขาดสังคม เป็นเรื่องใหญ่นะ
มนุษย์เราถูกสร้างมาเพื่อให้อยู่กับสังคม ไม่ใช่เกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว
ใครที่คิดว่าใช้ชีวิตคนเดียวได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีใคร
มินีว่ามันไม่ปรกติ (นี่ความเห็นส่วนตัวของมินีนะ)
ตอนนั้นมิคาอิล ไม่ชอบเล่นกับเพื่อนๆ มองหาแต่พ่อกับแม่ หรือคนที่ตัวเองรู้จักเท่านั้น
ไม่กล้าลองมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ๆ เป็นเด็กขี้รำคาญ
ไม่ชอบเห็นใครทำอะไรที่ไม่ถูกใจ ก็จะมาบ่นพรึมพร่ำๆ กับพ่อแม่ไปเรื่อยเลย
ฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่มินีรู้ว่าเขาไม่ชอบเพื่อนคนนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงที่สุด
ไม่ชอบเห็นใครทำอะไรที่ไม่ถูกใจ ก็จะมาบ่นพรึมพร่ำๆ กับพ่อแม่ไปเรื่อยเลย
ฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่มินีรู้ว่าเขาไม่ชอบเพื่อนคนนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงที่สุด
วิธีแก้ปัญหานี้ของมินีคือ ลองเปิดใจหาโรงเรียนให้มิคาอิลอีกครั้ง
ความตั้งใจแรกคือ แค่อยากให้มิคาอิลเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ
เพื่อที่จะสร้างความคุ้นเคยกับเด็กๆวัยเดียวกันกับมิคาอิลแบบไม่เขินอาย
ที่เขียนมายาวมากขนาดนี้ มินีแค่อยากจะบอกว่า
มิคาอิลเจอโรงเรียนที่เหมาะสมกับเขาแล้ว
"Fun Time Preschool"
เป็นโรงเรียนที่มินีมองหามานาน เป็นโรงเรียนแนวบูรณาการ
ไม่เน้นวิชาการ เด็กๆ วัยนี้ควรจะได้เล่นเยอะๆ
การบังคับให้เรียนวิชาการแบบเต็มๆ มินีไม่ค่อยเห็นด้วยมากนัก
ที่นี่เน้นให้เด็กๆ ได้เล่นอย่างมีหลักการ และเป็นประโยชน์ในชีวิตของเด็ก
การบังคับให้เรียนวิชาการแบบเต็มๆ มินีไม่ค่อยเห็นด้วยมากนัก
ที่นี่เน้นให้เด็กๆ ได้เล่นอย่างมีหลักการ และเป็นประโยชน์ในชีวิตของเด็ก
สอนให้เด็กๆรู้จักหน้าที่ มีวินัย มีหลายๆสิ่งที่โรงเรียนนี้สอนเด็ก
ในแบบที่มินีสอนมิคาอิลเองที่บ้าน แต่มินีสอนแบบคนไม่ได้มีความรู้
หรือมีหลักการของความเป็นครูมากนัก มินีใช้ความรักในการสอนลูกมากกว่า
ในแบบที่มินีสอนมิคาอิลเองที่บ้าน แต่มินีสอนแบบคนไม่ได้มีความรู้
หรือมีหลักการของความเป็นครูมากนัก มินีใช้ความรักในการสอนลูกมากกว่า
ซึ่งบ้างครั้งก็ไม่สามารถจัดการกับความดื้อของมิคาอิลได้ ไม่มีเทคนิคที่จะแก้ปัญหานี้
แต่ถ้าเป็นคุณครูที่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กแล้ว คงรับมือได้ไม่ยาก
ทางโรงเรียนมีแนวความคิดให้เป็น Farm School จะให้เด็กๆ ปลูกผัก ปลูกข้าว
เลี้ยงไก่ไข่ เก็บไข่ แล้วสอนเด็กๆปรุงอาหารจากผัก ไข่ไก่ที่พวกเขาได้ดูแลเองกับมือ
คิดดูสิ เด็กจะสนุกมากแค่ไหน? ขนาดมินีได้ยิน ยังแอบตื่นเต้นแทนเด็กๆเลย
ในกทม มินีคิดว่า คงมีโรงเรียนแบบนี้ไม่มากนัก
@ วันปฐมนิเทศน์ @
@ ประชุมผู้ปกครองเมื่อผ่านการเรียน 1 สัปดาห์ @
มีการปรึกษาหารือถึงปัญหาต่างๆ รวมถึงแนวทางแก้ไขปัญหา
และขอคำแนะนำจากผู้ปกครองด้วย
@ กิจกรรมลอยกระทง @
จริงๆกิจกรรมนี้ มินีไม่ได้เห็นด้วยที่จะให้มิคาอิลให้ความสำคัญ
เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับศาสนา แต่สิ่งที่มินีต้องการมิคาอิลได้เรียนรู้ คือ
เขาจะได้มีส่วนรวมและได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่มกับเพื่อนๆ มากกว่า
มินีคิดว่ามินีแยกแยะออก และคิดว่ามินีสามารถสอนให้อิลเข้าใจเมื่อเขาโตขึ้น ว่า
ประเพณีนี้ มุสลิมเราไม่สามารถเข้าร่วมไปลอยกระทงได้
@ คงเตรียมแปลงปลูกข้าว ปลูกผัก @
@ เด็กๆ หมักไก่ สุดยอดเลย @
@ อยากได้กระดานดำแบบนี้ติดข้างฝาบ้าน @
@ My Boy @
@ คุณครูบอกว่า มิคาอิลช่วยดูแลน้องๆ ด้วย @
กิจกรรมวันพ่อ โรงเรียนก็จัดได้สนุก และน่ารักมากๆ
@ ปาปาวาดรูปมิคาอิล @
บรรยากาศที่ร่มรื่นของโรงเรียน สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้
มันส่งผลถึงจิตใจของเด็กได้โดยตรง
การที่เด็กๆ ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี จิตใจของพวกเขาจะดีขนาดไหน?
มิคาอิลกลับจากโรงเรียน ไม่มีวันไหนที่อารมณ์ไม่ดี
ไม่มีวันไหนที่เขาบ่นว่าไม่อยากไปโรงเรียนเลย
และนี่คือ
โรงเรียนในฝัน
ไว้จะมาเล่าเรื่องโรงเรียนมิคาอิลบ่อยๆนะค่ะ
Cr. รูปน่ารักๆ ของเด็กๆ จาก T. Ivan และ T. หลายๆท่านในเฟสบุคฟันไทม์
มีความสุขในทุกๆวัน และสุขสันต์วันพ่อค่ะ
No comments:
Post a Comment