iTime

Saturday, December 17, 2011

กลับสู่โลกแห่งความจริง #1

17 Dec 2011
Temp 25 Degree Celciuse
@ Neo City Village


 
กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ 3 อาทิตย์แล้ว
เราออกเดินทางจากนราธิวาสเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ทิ้งลูกไว้ที่บ้านให้คุณยายเลี้ยงก่อน
เพราะเราต้องเคลียบ้านที่โดนน้ำท่วมให้เรียบร้อยก่อนที่จะรับลูกกลับมาอยู่กับเรา
วันนั้นออกจากบ้านช่วงเที่ยง เพราะกะว่าจะได้มืดแล้วแวะนอนระหว่างทางที่ชุมพร

สาเหตุที่เราเดินทางวันที่ 30 พฤศจิกา ก็เพราะว่า วันที่ 2 ธันวา เรามีประชุมกับลูกค้ารายใหญ่
ซึ่งเราจะพลาดไม่ได้ รวมถึงเราจะโดน Audit จากลูกค้ารายนี้ด้วย แต่อยู่ๆ เขาดันมาเปลี่ยนแผน
ขอเลื่อนการประชุมให้เร็วขึ้น เป็นวันที่ 1 ธันวา เรานี้รีบบึ่งรถจากชุมพรเข้ากทมฯ
ตอนแรกคิดว่าจะไม่ทันซะแล้ว เพราะทางเข้ากทมฯ รถติดมาก แถมไปหลงบนทางด่วนอีก
แต่สุดท้ายก็ทัน แอบเหนื่อยเลย

ช่วงเย็นหลังประชุม ก็เลี้ยงอาหารค่ำกับกรุ๊ปที่มาออดิท เฮฮากันมาก
เพราะเราพาเขาไปกินอาหารไทยแท้ที่ร้านเรือนมัลลิกา
นั่งพับเพียบทานอาหารกัน แต่ละคนเข่าดีๆกันทั้งนั้น






ช่วงสองอาทิตย์แรกที่มากทมฯ เรากับสามีไปอาศัยอยู่บ้านแพทตี้ เพราะบ้านตัวเองยังเข้าอยู่ไม่ได้
น้ำลดแล้ว แต่น้ำประปากับไฟฟ้าเขายังไม่เปิดให้ใช้ เราเลยเข้ามาดูบ้านเป็นระยะๆ
สภาพหมู่บ้าน และตัวบ้านของเราโทรมมาก เพราะยังไม่มีใครย้ายเข้ามาอยู่ เงียบ ร้างมากๆ




ถนนหน้าหมู่บ้าน




ทางเข้าบ้านของเรา




My outfit for flood fighting





มีปลาดุมานอนเป็นปลาแดดเดียวหลังบ้าน ตัวเบ้อเร้อเลย

 





เปิดบ้านมา เหม็นอับ เชื่อราเต็มฝาผนัง เห็นแล้วปวดหัวใจ และคงคิดว่า
ฉันเจองานช้างแล้ว เราช่วยกันเก็บของ ยกของในบ้านออกมาตั้งนอกบ้าน
แต่ก็นับว่าข้าวของของเราไม่เสียหายมากเท่าไหร่ เพราะเรายกของขึ้นไปชั้นสองเกือบหมด
ของที่เสียหายก็จะมีเตียงในห้องนอนของแม่ที่อยู่ชั้นล่าง เราขนขึ้นชั้นสองไม่ไหว เพราะหนักมาก
ช่วงที่ออฟฟิตยังเข้าไปทำงานไม่ได้ แต่งานโอเปเรชั่นของเรา มีไฟล์ทให้ทำอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้ว่าดอนเมืองยังไม่เปิดให้ใช้บริการ แต่เราก็มีไฟล์ทที่สุวรรณภูมิบ้าง ภูเก็ตบ้าง อู่ตะเภาบ้าง
v
v
v
v
to be continue เหนื่อยแล้ว....

Sunday, November 13, 2011

Update flooding situation @ VTBD

13 Nov 2011
Time 19:26LT
@ Bang Koy Fon, Narathiwat






ตอนแรกว่าจะเขียนชีวิตที่มีความเป็นไปอย่างเชื่องช้าที่บ้านเกิด เมืองนราธิวาส
ซึ่งไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นเลย เรื่อยๆ การดำเนินชีวิตจะเป็นวงจรแบบนี้

"ตื่นนอนตีห้าครึ่ง ลุกขึ้นมาต้มน้ำร้อน เตรียมทำชา กาแฟ เตรียมอาหารเช้า
ทำเองบ้าง ซื้อบ้าง แล้วแต่ว่าวันนี้เราจะขยันมากน้อยแค่ไหน
เสร็จแล้วอาบน้ำ ป้อนข้าวให้มิคาอิล แวะมาดูเมล์งานบ้าง เผื่อมีลูกค้าส่งมา
เล่นกับมิคาอิล จนเขาหลับ แล้วเราถึงจะมีเวลาที่พอจะเข้าโลกไซเบอร์บ้าง
เที่ยงเตรียมทำอาหาร กินเสร็จ เจ้าหนูมิคาอิลตื่น ป้อนข้าว กินนม เล่น แล้วเขาก็จะนอนต่อ
บ่ายแก่ๆ เตรียมทำอาหารเย็น(อีกแล้ว) กินข้าวตอนหนึ่งทุ่ม
เสร็จแล้วสังสรรค์กับครอบครัวด้วยสภากาแฟในบ้านบ้าง นินทาคนบ้างพอหอมปาก หอมคอ อิอิ
หลังจากนั้นแล้ว เราก็พามิคาอิลเข้านอน ตอน 3 ทุ่ม สรุปเราก็หลับไปด้วยเลย"

ชีวิตจะเป็นแบบนี้ทุกวัน จะมีต่างนิดหน่อยตรงวันพุธกับวันเสาร์ นราฯจะมีตลาดนัดมือสอง
แม่นีชอบไปเที่ยวดูของเพลินๆ ของกินก็เยอะดี ก็สนุกไปอีกแบบ เสียดายที่เราไม่ได้เอา
นาฬิกาที่เราขายที่กรุงเทพฯ กลับมาด้วย ไม่งั้นคงได้หารายได้ ระหว่างที่ไม่ได้ไปทำงานแล้ว



มาพูดถึงเรื่องที่ไม่ได้ไปทำงาน ตอนนี้ก็จะหนึ่งเดือนแล้วนะที่น้ำท่วมเขตดอนเมือง
เขตที่เราพักอาศัย และเขตทำมาหากินของเรา เมื่อวันที่ 6 ที่ผ่านมา พี่ที่ทำงาน
ส่งรูปน้ำที่ท่วมออฟฟิตมาให้ดู รวมทั้งบริเวณทั้งหมดของสนามบินดอนเมือง เห็นแล้วเศร้ามากๆ
ของในออฟฟิตคงจะเสียหายไปเยอะพอสมควร วันนี้เลยอยากแชร์ภาพให้เพื่อนๆ ได้เห็นกัน

ขอขอบคุณภาพถ่ายโดยครูเศวต ที่อุตสาห์ส่งภาพมาดูกันนะค่ะ



Hangar ของ BAC, SGA, มินิแบร์






ฝั่ง บน. 6








ข้างๆ Hangar SIAMLAND FLYING, THAIFLYING







พิพิธภัณท์อนุรักษ์อากาศยาน









ฝั่งท่าอาคารระหว่างประเทศ ตรงประตู 2








ตรงระหว่าง Pier 3-4






Hangar การบินไทย, Aerospace, MJETS







รุปสุดท้าย หน้าออฟฟิตของเรา ฮืออออออ T___T




V
V
V
V
V

แถมอีกหนึ่งรูป




ตรงถนนวิภาวดีรังสิต ปัจจุบันเป็น Viphawadee Canal ไปแล้ว




^^ สวัสดี ^^

Saturday, October 29, 2011

คิดถึงงาน คิดถึงกทมฯ

29 ตุลาคม 2554
ณ บ้านคอยฝน นราธิวาส
เวลา 12:32 น.







หลังจากที่อพยพออกจากบ้านเมื่อคืนวันที่ 21 ตุลา จนถึงวันนี้ ก็ 10 วันพอดี
ที่ทิ้งบ้านโดยที่ไม่สามารถกลับไปดูสภาพบ้านได้เลย คิดถึงทุกสิ่งอย่าง แต่ก็ทำใจได้
ของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ แค่ขอให้คนที่เรารักปลอดภัย ซึ่งก็ปลอดภัยกันทุกคน
แค่นี้เราก็โชคดีมากๆแล้ว อัลฮัมดุลลิลละห์

พออยู่บ้าน โดยไม่ได้ทำงานเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เราแอบคิดถึงงานเหมือนกันนะเนี้ย
ปรกติเช้ามาต้องเช็คเมล์ ตอบเมล์ รับโทรศัพท์ เตรียมแผนการบิน
เช็คสภาพอากาศ โม้ กินข้าวกับน้องๆ กินขนม ออกไปชอปปิ้งเจ๊เล็งตอนเที่ยง
หลับ (น้ำลายยืด) ขอเปอมิต เล่นเฟสบุค (ดูเหมือนจะยุ่งมากเลยเนอะ โอเปที่โรยัลฯ เนี้ย)
ตอนนี้ก็นั่งๆ นอนๆ ทำงานบ้าน แต่ก็มีเช็คเมล์บาง ตอบเมล์บางเท่าที่จะทำได้ เบื่อๆเหมือนกัน
ครั้นจะให้ขึ้นกทมฯ ไปทำงาน เราก็ไม่มีที่จะอยู่ ออฟฟิตที่ดอนเมืองปานนี้คงโดนน้ำท่วมไปแล้ว
ถ้าไม่โดนก็หาทางเข้าออฟฟิตไม่ได้อยู่ดี คนอื่นๆในแผนกต่างไปทำงานที่เชียงใหม่ สุราษฯ

คิดถึงงานเลยเอารูปที่ทำงานมาลง ดูกันเพลินๆ นะค่ะ














































สรุป สถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบัน ตอนนี้น้ำท่วมออฟฟิตเรียบร้อยแล้ว เราคงต้องนั่งทำงานอยู่กับบ้าน
ก็ต้องตามเปอมิต เพราะมีงานเข้ามาเรื่อยๆ ตามต่างจังหวัด แต่ในกทมฯ คงต้องงดรับงาน
ตอนนี้ มีคนประจำที่เชียงใหม่ สุราษฯ แต่ถ้ามีงานที่หาดใหญ่ มินีขออาสาไปทำให้ก็ได้นะค่ะ
เพราะขับรถไปแค่ 2:30 ชั่วโมงเอง เสร็จงานก็ได้เที่ยวเล่นบ้าง
รู้สึกว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เราได้พักจริงๆ อิอิอิ แฮปปี้กันไป แต่เงินเดือนเดือนหน้าจะออกมั้ย??

Next Blog จะเขียนเรื่องราวชีวิตแบบเรื่อยๆ ที่นราธิวาสบ้างดีกว่า.....

Saturday, October 22, 2011

น้ำท่วมบ้าน

22 October 2011
Time 07:30LT
Hangar 4426


น้ำท่วมหมู่บ้าน




วันที่ 20 ตุลาคม 2011 เวลา ตี 2 กว่าๆ
ยามในหมู่บ้านมากดกริ๊งหน้าบ้าน พอเปิดประตูออกมา
ยามบอกว่าให้พี่ย้ายรถไปจอดไว้ที่สูง เพราะน้ำในคลองประปาสูงมาก
ทำถ้าเหมือนจะล้นมาท่วมบนพื้นถนน เพราะถ้าท่วมถนนเมื่อไหร่
น้ำต้องเข้ามาในหมู่บ้านเราแน่นอน

คุณสามีกับพ่อขับรถไปจอดที่สนามบินดอนเมือง คืนนั้นก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
แต่ก็ทำให้เราไม่แน่ใจกับสถานการณ์ของน้ำแล้ว เลยเตรียมขนของชิ้นใหญ่ไปไว้บนห้องนอนชั้นสอง

เช้าของวันนั้นมีนัดกับพี่ตุ้ม พี่สาวที่แสนดีมากๆ จากออสเตรเลีย
ที่บอกว่าดีมากๆ เพราะเขาเป็นแค่เพื่อนพี่สาวเราที่ซิดนีย์ แต่พอได้รู้จักคบหาเขาแล้ว
ไม่คิดว่าคนที่เป็นแค่คนรู้จักกันจะรักเราและครอบครัวของเรามากกว่าญาติพี่น้องของเราเสียอีก
ที่ต้องเอ่ยแบบนี้เพราะเขารักพ่อแม่เรา พี่น้องเรา ลูกเราอย่างจริงใจ
ถ้าเป็นไปได้ เราอยากให้เขาเป็นพี่น้องเราเลย เป็นญาติแท้ๆได้ยิ่งดี

หลังจากที่ไปเจอพี่ตุ้มเสร็จ เราก็มุ่งหน้ากลับบ้านไปเก็บของไว้ชั้นบนต่อ







ห้องนอน กลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว



วันที่ 21 ตุลาคม 2011 เวลา 02:00am

ยามมากดกริ๊งอีกครั้ง แล้วบอกว่า "พี่ครับ น้ำกำลังจะมาในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้านี้"
เรารีบไปเตรียมเก็บกระเป๋า ของใช้ของลูก (ซึ่งเราก็เตรียมตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว)
อุ้มลูกจากเตียง ไปสนามบินดอนเมือง เพราะเช้าลูกต้องบินกลับนราธิวาส
ทุรักทุเรมาก รถจอดอยู่ที่สนามบิน การเดินทางออกจากหมู่บ้านต้องเป็นมอเตอร์ไซค์อย่างเดียว
น้ำก็เริ่มท่วมแล้ว แต่มอเตอร์ไซค์ยังขับได้อยู่ เกือบดับเหมือนกัน
รอบแรกสามีขี่มอเตอร์ไซค์เอาเรากับลูกออกนอกหมู่บ้านก่อน
รอบสองสามีขี่กลับไปรับพ่อต่อ และสุดท้ายก็ขี่กลับไปรับแม่ออกมา
จากนั้นเรานั่งแทกซี่ไปสนามบินดอนเมืองตอนตี 3
พวกเรานอนที่สนามบิน มิคาอิลคงเหนื่อยๆ แต่ก็ยังร่าเริ่งได้
ณ ขณะนั้น เขาคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สงสารลูกเหมือนกัน






หลับไม่รู้เรื่องเลยว่าน้ำท่วมบ้านเราแล้ว



นอนรอเวลาที่จะได้ไปเช็คอินให้พ่อ แม่ และมิคาอิลกลับนราธิวาส
สบายใจที่ลูกเราได้ไปอยู่ที่ๆปลอดภัย ตอนนี้ก็หายห่วงแล้ว
ตอนนี้ห่วงแต่บ้านอย่างเดียวเลย

หลังจากนั้น เรากลับไปที่บ้านอีกที่ คราวนี้ น้ำท่วมในหมู่บ้านหนักเลย




ระหว่างทาง ตรงแยกถนนนาวงประชาพัฒนา









ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มสู้ยอมรับกับเหตุการณ์

ขอให้น้ำลดไวๆ นะค่ะ

...God Blessed...